เราทำงานด้านการตลาดดิจิทัล ของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ชอบความเป็นอิสระ และหลงใหลในเรื่องของพลังงาน มิติที่มองไม่เห็น และศาสตร์แห่งความลี้ลับมาตั้งแต่วัยรุ่น การหาเงินคือสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่เราเชื่อว่าความสุข ต้องมาก่อนเงินเสมอ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่รวย แล้วจะมีความสุข และเราไม่ได้อยากเป็น เศรษฐีพันล้าน แต่อยากมีชีวิต ที่พอเพียง มีเงินพอใช้ และไม่ต้องขายวิญญาณ ให้ระบบที่เห็นคน เป็นเครื่องมือ เหมือนที่คนรุ่นเดียวกัน หลาย ๆ คนทำอยู่
เมื่อสัปดาห์ก่อน เราเพิ่งไปดูดวง กับหมอดูไพ่ยิปซีคนหนึ่ง ที่เพื่อนแนะนำมา หมอดูดวงสุขภาพด้วยไพ่ยิปซี เขาเปิดไพ่ได้แม่นมาก จนขนลุก และสิ่งหนึ่งที่เขาพูด ทำให้เราต้องหยุดคิด อย่างจริงจัง เขาบอกว่าในร่างกายเรา กำลังมีบางอย่าง ไม่ปกติ อาจจะยังไม่แสดงอาการ แต่พลังงานที่ออกมา ดูเหมือนกำลังอ่อนแรงอยู่บางจุด หมอดูบอกให้ลองไป ตรวจสุขภาพดูไว้ก่อน เพื่อความสบายใจ ฟังแล้วเราก็ ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ก็แอบไม่สบายใจ จึงตัดสินใจไป ตรวจร่างกายแบบละเอียด ที่โรงพยาบาลเอกชน แห่งหนึ่งในวันถัดมา
ผลปรากฏว่า เราพบว่ามีก้อนซีสต์ขนาดเล็ก ในรังไข่ข้างขวา แม้แพทย์จะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก และสามารถรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกทึ่งคือ... มันตรงกับที่หมอดูพูดไว้เป๊ะ ๆ ชนิดที่เราขนลุกอีกครั้ง ไพ่ยิปซี ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่ เกมแห่งโชคชะตา กลับกลายเป็นคำเตือน ที่พาเราไปรับรู้ความจริง ที่หมอยังไม่รู้ก่อนหน้า เลยด้วยซ้ำ
เรามองว่า ไพ่ยิปซี ไม่ใช่แค่ศาสตร์เก่าแก่ ที่เอาไว้ดูความรัก หรือการเงิน อย่างที่หลายคน ในวัยเราชอบใช้กัน แต่มันคือ "กระจก สะท้อน พลังงาน ภายใน" ที่แม้แต่ตัวเราเอง ก็ยังไม่สามารถเข้าใจ ได้ลึก เท่ากับ เมื่อไพ่เผยออกมา ไพ่ไม่โกหก แต่เราต่างหาก ที่บางที ก็ปฏิเสธจะฟัง
ทุกวันนี้ คนรุ่นเรา คนเจนวาย วัยสามสิบต้น ๆ ส่วนใหญ่ มักวิ่งวุ่นกับชีวิต แบบไม่หยุดพัก เราเห็นหลายคน ในวงการเดียวกัน ทำงานจนไม่มีเวลา แม้แต่จะพักหายใจ มีแต่ความเร่งรีบ หาเงินแข่งกัน ซื้อของแพง ๆ แข่งกันถ่าย ลงโซเชียล โพสต์ความสำเร็จ เหมือนเป็นหน้าตาทางสังคม บางคนมีรายได้ดี จนเรารู้สึกว่าเขาน่าจะสบาย แต่เมื่อคุยลึก ๆ กลับพบว่าหลายคน ไม่มีความสุขเลย พวกเขาทำงานหนัก เพราะกลัวจะล้าหลัง กลัวไม่มีเงินมากพอ กลัวโดนคนอื่นมองว่าล้มเหลว มันเป็นชีวิตที่เหนื่อย จนเราอดคิดไม่ได้ว่า … เงินมันคุ้มกับสุขภาพกาย และใจที่เสียไปไหม ?
จากเหตุการณ์นี้ เราเริ่มมองว่า “เงิน” เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น มันไม่ใช่ คำตอบของทุกอย่าง อย่างหมอดูคนนั้น ก็ไม่ได้เก็บค่าดูแพงเลย แค่ไม่กี่ร้อย แต่กลับให้เราได้รู้ทันสุขภาพตัวเองก่อน โรคจะลุกลาม แบบนี้คุ้มกว่า คอร์สบำรุงผิวหน้า หรือ วิตามินราคาแพง ที่คนรุ่นเรา แห่กันซื้ออีกนะ
เราไม่เคยเชื่อว่า คนรวย คือคนที่ฉลาดกว่าเสมอไป เพราะเรารู้จักคนรวย ที่เห็นแก่ตัวเยอะมาก พอมีเงินแล้วก็คิดว่า ตัวเองรู้ทุกเรื่อง ทั้งที่จริง ๆ เขาแค่โชคดี เกิดในบ้านที่มีทุนมาก่อน คนพวกนี้ มักไม่เชื่อในอะไรที่จับต้องไม่ได้ เพราะเขาเชื่อแต่ระบบ ที่สร้างมาให้พวกเขาอยู่เหนือกว่า แต่เรากลับคิดว่า ความเชื่อก็เป็นทุนอีกแบบหนึ่ง คนที่กล้าเชื่อ ในสิ่งที่ไม่เห็น ได้ก่อนใคร คือคนที่เปิดกว้าง และคนแบบนี้แหละ ที่เรารู้สึกว่า “รวยจริง” คือรวยในจิตใจ
เรื่องนี้ ยังทำให้เรากลับมาคิดถึง เป้าหมายของชีวิตด้วยนะ แต่ก่อนเราก็ เป็นคนที่อยากมีแบรนด์เนม อยากนั่งบิสสิเนสคลาส อยากมีเงินเดือนสูง ๆ เหมือนคนอื่น แต่พอเจอหมอดูแล้ว รู้ว่าร่างกายเรา กำลังส่งสัญญาณ เรากลับคิดว่า ... แล้วทั้งหมดนั้น มันมีความหมายอะไร ถ้าเราป่วย? ถ้าเราต้องอยู่โรงพยาบาล แทนที่จะได้ไปเที่ยว ? ถ้าเราใช้เงิน รักษาโรค ที่เราน่าจะป้องกันได้ ตั้งแต่แรก ?
การดูไพ่ยิปซีจึงกลายเป็นเครื่องมือที่พาเราหยุดมองชีวิตอย่างผิวเผิน เป็นการสะกิดใจให้หันกลับมาฟังเสียงในตัวเองอย่างจริงจัง ไม่ใช่เสียงของความอยากได้อยากมี ไม่ใช่เสียงของการแข่งขัน ไม่ใช่เสียงของสังคมที่บอกว่าเราต้องประสบความสำเร็จตามนิยามของมัน
เราเชื่อว่าทุกศาสตร์ที่มีอยู่ในโลกนี้ ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสตร์ลี้ลับ มีอยู่เพื่อเติมเต็มกันและกัน ไม่ใช่ขัดแย้งกัน ไพ่ยิปซีอาจไม่ได้รักษาโรคได้เหมือนหมอ แต่บางทีมันเตือนให้เราไปรักษาได้เร็วกว่าหมอด้วยซ้ำ และนั่นคือสิ่งที่เราคิดว่าคนรุ่นเราควรเปิดใจยอมรับให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เอาไว้ดูดวงความรักแล้วก็หัวเราะผ่านๆ ไป
สุดท้ายนี้ เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องเชื่อไพ่ยิปซี หรือดูหมอดูตลอดเวลา แต่เราอยากบอกว่า อย่าปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้จากทุกมิติของชีวิต เพราะบางที สิ่งที่มองไม่เห็น อาจเป็นคำตอบที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้
และถ้าคุณถามเราว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไงกับชีวิตหลังจากเรื่องนี้...เราตอบได้เลยว่า “รู้สึกว่าชีวิตมันลึกซึ้งกว่าที่เคยคิดไว้มาก” เพราะการรู้ทันก่อนโรค การใช้เงินอย่างรู้คุณค่า และการเลือกจะเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่อาจมองว่าไร้สาระ มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตามกระแส แต่กำลังเดินอยู่บนทางที่เป็นของตัวเองจริงๆ เสียที
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .